ประเด็นดราม่า เมื่อ Steam ลบเกมออกจาก Library ของผู้ใช้โดยไม่ได้ขออนุญาต

order-of-war-challenge

โดยปกติแล้วเวลาที่ Steam ลบเกมออกจาก Store (ด้วยเหตุผลบางอย่าง) รายชื่อเกมนั้นจะยังคงอยู่ใน Games Library ของผู้ใช้ แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีเหตุการณ์ดราม่าเกิดขึ้น เมื่อทาง Square-Enix ได้ปิดให้บริการเซิร์ฟเวอร์เกม Order of War: Challenge (จริงๆ คือปิดไปตั้งแต่เดือนกันยาปีที่แล้ว) แต่แทนที่ทาง Steam จะถอดรายชื่อเกมนี้ออกจาก Store แบบที่เคยทำ ดันมาลบเกมนี้ออกจาก Games Library ของผู้ใช้ด้วย ทำให้คนที่เคยกดซื้อเกมนี้ไปแล้วไม่สามารถเข้าไปเล่นเกมนี้ได้อีกต่อไป

ประเด็นดราม่าของเรื่องนี้มันอยู่ที่ว่า ถึงแม้ตัวเกมนี้จะไม่สามารถเข้าไปเล่นได้อีกแล้วเพราะไม่มีเซิร์ฟเวอร์ให้เล่น (เกมนี้ต้องเล่นออนไลน์อย่างเดียว) อีกทั้งโหมด Single Player ก็จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์อยู่ตลอดเวลา แต่มันก็ทำให้เกิดคำถามว่า การที่เราซื้อเกมแบบ Digital มาเล่นเนี่ย เราเป็นเจ้าของเกมนั้นจริงๆ เหรอ? ไม่ใช่ว่าซื้อเกมมาเล่นอยู่ดีๆ แล้วผู้ให้บริการปิดเซิร์ฟเวอร์ไป จนถึงขนาดว่าเล่นโหมด Single-Player ยังไม่ได้นี่มันยุติธรรมแล้วเหรอ? ถึงแม้ว่าเกมมันจะเข้าไปเล่นไม่ได้แล้วเพราะไม่มีเซิร์ฟเวอร์ แต่จะปล่อยให้ผู้ใช้เก็บเกมนี้ไว้ในเครื่องเป็นที่ระลึกไม่ได้เชียวเหรอ?

จากปัญหานี้ก็เลยเกิดคำถามขึ้นกับเกมที่ไม่ใช่เกมออนไลน์ แต่เป็นเกม Offline ที่ใช้วิธีบังคับให้ผู้เล่นต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์อยู่ตลอดเวลาเพื่อเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็น Diablo III หรือ SimCity 2013 ว่าความเป็นเจ้าของของเกมนี้อยู่ที่ผู้ซื้อ หรืออยู่ที่ผู้ขาย ถ้าเกิดอยู่ๆ ผู้พัฒนาเกมไม่อยากเปิดเซิร์ฟเวอร์อีกต่อไปแล้ว ผู้ที่ซื้อเกมมาเล่นจะยังมีสิทธิ์อะไรในตัวเกมที่ซื้อมาได้บ้าง?

อัพเดต: ทางต้นฉบับได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าโหมด Single Player ของเกม Order of War ยังคงมีอยู่ แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลาเหมือนเดิม

ที่มา – Forbes

Author

Bigta

เล่นเกมมาตั้งแต่อนุบาลหนึ่ง :3